Just another WordPress.com weblog

เวลาที่เราฝากครรภ์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การทำ ultrasound เพื่อดูพัฒนาการทารกในครรภ์ ว่ามีการเจริญเติมโตปกติหรือไม่ และผลที่ได้ตามมาก็คือการทราบว่าทารกเพศใดนั้นเอง ตามจริงแล้ว เราสามารถเห็นภาพทารกขณะนั้น เราสามารถเห็นภาพหัวใจเด็กเต้น เห็นการเคลื่อนไหวของแขน ขา ทำให้เราสามารถติดตามการพัฒนาของทารก จำนวนของทารก ตำแหน่งของทารก และตำแหน่งของรก  ประโยชน์อีกอันหนึ่งคือ Doppler ultrasound ซึ่งทำให้เราได้ยินเสียงหัวใจเด็กเต้น

นอกจากนี้ การตรวจครรภ์ด้วยการใช้เครื่อง ultrasound ยังสามารถทราบว่าเด็กมีน้ำหนักตัวมากน้อยเพยงใด ถ้าเด็กมีน้ำหนักมากกว่า4,000 กรัมแพทย์ส่วนมากจะดูว่ามารดาสามารถคลอดเองได้หรือไม่ถ้าไม่สามารถคลอดเองได้ก็จะวางแผนการทำคลอดด้วยวิธีผ่าตัดหน้าท้องแทน ซึ่งทำให้ปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก

การทำ ultrasound ถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐ มีบัตรทอง ที่ทราบมาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ส่วนบัตรประกันสัคม ก็มีบ้างไม่เกินครั้งละ 500-1000 บาท แต่ก็มีบางท่าบอกว่าบางคลินิค แพทย์ได้เหมารวมหมดแล้วซึ่งเป็นราคาไม่แพงมากนัก

 

วันนี้ขอเล่าเรื่องที่แปลกหน่อยครับ เรื่องการพัฒนาให้ลูกหลานของเราเป็นเด็กอัจฉริยะ

อัจฉริยะในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะคนที่จะเป็นอัจฉริยะนั้น มีด้วยกัน 8 ด้าน ตามทฤษฎีอัจฉริยภาพพหุปัญญา ดังนี้

1.อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร

2.อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว

3.อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และการจินตภาพ

4.อัจฉริยภาพด้านตรรกะและการคำนวณ

5.อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง

6.อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจคนอื่นๆและมนุษยสัมพันธ์

7.อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ

8.อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ

Multiple Intelligences หรือทฤษฎีพหุปัญญา (บ้างเรียกว่า เชาวน์ปัญญาหลายด้าน หรือ อัจฉริยภาพ
หลายประการ) เป็นทฤษฎีทางการศึกษาที่มีรากฐานมาจากการค้นคว้าและวิจัยทางสมอง ได้รับการ
พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1983 หรือ พ.ศ.2526 โดย ดร. โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ Howard Gardner ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดและผู้รับผิดชอบโครงการ Project Zero เป็นผู้เสนอทฤษฎีนี้ขึ้น ในหนังสือชื่อ “ Frames of Mind” 
อัจฉริยะสร้างได้   

ประเทศไทยเรามีคุณ วนิษา เรซ ที่มีความสามารถในเรื่องนี้ และได้แต่งหนังสือขายดีมากเรื่อง อัจฉริยะสร้างได้

ดังนั้น เราคงพอเข้าใจแล้วครับว่า คำว่าอัจฉริยะ ไม่ใช่แค่การเรียนเก่ง จำเก่งเท่านั้น แต่มีความหมายที่กว้างมากขึ้น ทุกคนที่มีความสามารถเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งก็เป็นอัจฉริยะได้ เช่น กัน เช่น นักกีฬา นักอ่าน นักคิด นักเขียน

สำคัญในเรื่องนี้คือ การพัฒนาสมองให้มีความสัมพันธ์กันทั้ง 2 ซีก สมองซีกขวา เน้นเรื่องการจำเป็นภาพ สมองซีกซ้ายเน้นการคำนวณ เชิงตรรกะ แล้วเราสามารถพัฒนาสมองให้มีความเชื่อมโยงกันได้อย่างไร เพื่อพัฒนาตัวเราและลูกหลานให้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ หรืออัจฉริยะแบบบ้านเมืองเขาได้บ้าง เรื่องนี้ต้องอาศัยการพัฒนาในเวลานานพอสมควร ซึ่งแนวทางมีมากมาย บางคนต้องเริ่มจากการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้อง มีการเปิดเพลงให้บุตรในครรภ์ฟังเพื่อพัฒนาสมองให้มีเส้นใยตาข่าย ให้มีการแตกตัวแบบไม่กำจัด

  การพัฒนาบางคนต้องเริ่มจากการเรียนรู้ผสมผสานกับการเล่นต่างๆ เช่น เรียนไปเล่นเกมส์ไป เรียนไปร้องเพลงไป หรือเรียนไปด้วยวาดภาพไปด้วย หรือเรียนไป คิดตามไปด้วย การเรียนรู้เหล่านี้เป็นการฝึกใช้สมองทั้งสองซีกให้มีการทำงานที่สัมพันธ์กัน เมื่อสัมพันธ์กันมากขึ้นแล้วจะมีการทำงานประสานงานกันที่ยอดเยี่ยม คนเหล่านี้เมื่อโตขึ้นมาจะสามารถอยู่ในสังคม มีการประยุกต์ คิดอะไรที่ตอบสนองต่อสังคมและทำให้สังคมมีการพัฒนามีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

   การพัฒนาบุตรหลานของเราให้เป็นอัจฉริยะนั้น ควรทำอย่างไร คงตอบยากมากในช่วงนี้เพราะปัญหาอยู่ที่ว่า ประเทศไทยมีการเรียนการสอนแบบเดิม คือเน้นครูเป็นศูนย์กลาง นักเรียนต้องเชื่อครู ครูบอกอะไรก็ต้องเชื่อและที่สำคัญปัจจุบันมีหลายโรงเรียนที่ทราบปัญหานี้ ได้มีการนำเอาการเรียนรู้แบบใหม่เข้ามา โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนักเพราะระบบการศึกษาใหญ่ๆยังต้องมีการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย เด็กต้องเรียนพิเศษ ต้องติวเข้ม เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังๆ เมื่อจบแล้วก็จะได้งานดีเงินเดือนเยอะๆ สรุปแล้วส่วนใหญ่เรียนรู้ จบมาเพื่อเป็นทรัพยากรแรงงานหรือมนุษย์เงินเดือน ใช่หรือเปล่านะ??

มานึกถึงเจ้าของ 7-11 ที่เปิดขายสินค้าทั่วทุกมุมเมืองในขณะนี้ ถ้าคิดแบบเก่าคงไม่มาไกลขนาดนี้เพราะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าร้าน ปัญหาของหาย คนไทยชอบต่อรองราคา ซื้อเงินเซ็นต์ไม่ได้ แต่เพราะอะไรไม่ทราบใครๆก็อยากซื้อของ สินค้าที่ 7-11 กัน นี้แหละครับคือตัวอย่างของความคิดนอกกรอบของคนที่คิดระบบขึ้นมาแล้วขายลิขสิทธิ์นั้นๆให้คนที่สนใจนำมาพัฒนาต่อยอด ครับ

ภาวะมีบุตรยากคืออะไร

ภาวะมีบุตรยาก หมายถึง ภาวะที่คู่สมรสไม่สามารถตั้งครรภ์หรือมีบุตรได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ

โดยไม่ได้คุมกำเนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี พบประมาณร้อยละ 10-15 ของคู่สมรสในวัยเจริญพันธุ์ แบ่งได้เป็น 2

ชนิด คือ ภาวะมีบุตรยากชนิดปฐมภูมิ หมายถึง คู่สมรสที่ไม่เคยตั้งครรภ์เลยและภาวะมีบุตรยากชนิดทุติยภูมิ หมายถึง

คู่สมรสที่เคยตั้งครรภ์หรือมีบุตรแล้ว แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

แนวทางการดูแลรักษา

1. ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการมีบุตรที่ถูกต้อง

 2. ตรวจหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก

 3. แก้ไขสาเหตุของภาวะมีบุตรยากที่พบ

 4. พิจารณาเลือกการรักษาที่เหมาะสม

 5. แนะนำทางเลือกอื่นในการมีบุตร เช่น การรับบริจาคไข่ การรับบริจาคอสุจิ การรับบริจาคตัวอ่อน

วิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก

1. การฉีดเชื้อ

เป็นการฉีดน้ำอสุจิที่ผ่านการเตรียมให้มีความสามารถในการผสมกับไข่เข้าไปในโ

พรงมดลูกของฝ่ายหญิงในช่วงที่ไข่ตก โดยอสุจิที่ใช้อาจเป็นของสามีหรือผู้บริจาค

พบอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 10-15 ต่อรอบการรักษา

2. การกระตุ้นไข่โดยการใช้ยาหรือฮอร์โมนมาควบคุมการสร้างและการตกไข่

เพื่อให้มีไข่สุกครั้งละหลายๆใบและให้มีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติในช่วงที่ไข่ตก

พบว่ามีอัตราการตั้งครรภ์ร้อยละ 5-8 ต่อรอบการรักษาหรืออาจใช้ร่วมกับการผสมเทียม

การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งจะทำให้อัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้น

การตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้อย่างไร

การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ทั้งในฝ่ายชายและหญิง มีการดำเนินมาตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา

เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองจะมากระตุ้นให้มีการพัฒนาต่อจนเป็นเซลล์สืบพั

นธุ์ที่สมบูรณ์พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ โดยการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในฝ่ายชาย คือ การสร้างอสุจิ

ซึ่งเกิดขึ้นที่อัณฑะใช้ระยะเวลาในการสร้างประมาณ 74 วัน ส่วนในฝ่ายหญิง คือ

การสร้างและพัฒนาของเซลล์ไข่

ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงตามรอบระดูภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง

โดยในช่วงแรกของรอบระดู จะมีการเจริญเติบโตของฟองไข่หลายใบในรอบระดู

ไข่ที่ตกจะเคลื่อนที่เข้ามาในท่อนำไข่

เมื่อมีเพศสัมพันธ์อสุจิจะว่ายผ่านมูกปากมดลูกเข้าไปในโพรงมดลูกและท่อนำไข่

ถ้ามีไข่ที่ตกเคลื่อนที่เข้ามาในท่อนำไข่ จะเกิดการปฏิสนธิกับอสุจิเพียง 1 ตัว จากนั้น

จะเกิดการแบ่งตัวกลายเป็นตัวอ่อนพร้อมกับมีการเคลื่อนที่เข้ามาฝังตัวในโพรงมดลูกที่ได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมน

เพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนและเจริญเติบโตเป็นทารกต่อไป หากไม่เกิดการปฏิสนธิขึ้น

ฮอร์โมนจากรังไข่จะลดระดับลงทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นระดูและจะมีการเปลี่ยนแปลงของฟองไข่ในรอบต่อๆไป

ซึ่งความสามารถในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ในฝ่ายหญิงจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น

ทำไมจึงมีบุตรยาก

ภาวะมีบุตรยาก เกิดจากปัจจัยฝ่ายชายร้อยละ 35-45 ปัจจัยฝ่ายหญิงร้อยละ 45-55 และไม่ทราบสาเหตุร้อยละ 10

สาเหตุของการมีบุตรยากจากฝ่ายชาย

1. ความผิดปกติของการสร้างอสุจิ อาจจะสร้างได้น้อยหรือไม่มีการสร้างอสุจิ พบได้ในโรค

Klinefelter ความผิดปกติของเซลล์สร้างอสุจิ ลูกอัณฑะฝ่อ หลอดเลือดขอดที่ถุงอัณฑะ

การได้รับยาหรือสารพิษที่มีผลต่อการสร้างอสุจิ การเคลื่อนที่ของอสุจิต่ำ

2. ความผิดปกติของระบบทางเดินอสุจิ เช่น การอุดตันของ vas deferens

ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำอสุจิจากการทำหมัน นอกจากนี้ อาจเกิดจากน้ำอสุจิมีความเหนียวข้นมาก

และป้องกันไม่ให้อสุจิสัมผัสกับปากมดลูกภายหลังการร่วมเพศ

3. ความผิดปกติของการมีเพศสัมพันธ์และการหลั่งน้ำอสุจิ ได้แก่ การหลั่งน้ำอสุจิย้อนกลับ

หรือจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อช่องคลอดทำให้ไม่สามารถร่วมเพศได้

4. ความผิดปกติของการปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับไข่จากความผิดปกติของตัวอสุจิหรือมีภูมิคุ้มกันต่อด้วยอสุจิ

5. การอักเสบติดเชื้อหรือการอักเสบจากปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานต่ออสุจิ

สาเหตุของการมีบุตรยากจากฝ่ายหญิง เกิดจากความผิดปกติของการสร้างไข่หรือ

การควบคุมการไข่ตกซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไฮโปธาลามัส

ต่อมใต้สมองหรือความผิดปกติของรังไข่เอง และอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ฝ่ายหญิง

สามารถจำแนกได้เป็น

1. เกิดจากช่องคลอด เช่น ช่องคลอดตีบหรือตัน ช่องคลอดอักเสบ

2. เกิดจากปากมดลูก เช่น ปากมดลูกอักเสบ เนื้องอกปากมดลูก มูกปากมดลูกผิดปกติ

ภูมิต้านทานต่อเชื้ออสุจิ

3. เกิดจากมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก พังผืดในโพรงมดลูก

4. เกิดจากท่อนำไข่ เช่น ท่อนำไข่ตีบหรือตัน

5. เกิดจากรังไข่ เช่น ไข่ไม่ตก เนื้องอกรังไข่

6. เกิดจากอุ้งเชิงกราน เช่น พังผืดในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

แพทย์จะซัก

การประเมินภาวะมีบุตรยาก

ประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตรวจอวัยวะเพศและตรวจภายใน (ฝ่ายหญิง)

เพื่อประเมินสาเหตุเบื้องต้นจากนั้น จะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม

                 ชาย

 

1. การตรวจน้ำเชื้ออสุจิ เพื่อดูปริมาณ การเคลื่อนไหว จำนวนและรูปร่างของตัวอสุจิ

2. การตรวจระดับฮอร์โมนเพื่อประเมินความผิดปกติของฮอร์โมนที่ควบคุมและมีผลต่อการสร้างอสุจิ

                  หญิง

 

1.การตรวจลักษณะมูกปากมดลูก การเพาะเชื้อ

2.การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด (TVS)

3.การตรวจ TVS หลังจากฉีดน้ำหรือสารทึบแสงเข้าโพรงมดลูก

4.การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก และ X-ray

5.การส่องกล้องตรวจทางหน้าท้อง

6.การส่องกล้องตรวจในโพรงมดลูก – ท่อนำไข่

7.การตรวจระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน

8.การตรวจปริมาณเซลล์ไข่สำรองของรังไข่จากระดับฮอร์โมน

9.การสุ่มตัวอย่างตรวจเยื่อบุโพรงมดลูก

10.การตรวจฮอร์โมนธัยรอยด์ โปรแลคติน การตรวจโครโมโซม

อัตราค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะมีบุตรยากเป็นอย่างไร

คำตอบ : อัตราค่ารักษาจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่า คู่สมรสนั้นๆมีบุตรยากเนื่องจากสาเหตุใด และยังแตกต่างกันไปตามสถาบันแต่ละแห่ง และในแต่ละประเทศ ทั้งนี้ในการที่จะเปรียบเทียบอัตราค่าใช้จ่ายของแต่ละแห่งนั้นต้องพิจารณาถึงรายละเอียดต่างๆของการรักษาด้วย สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายของรพ.เจตนินในการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการมีบุตรนั้นจะอยู่ระหว่าง 40,000 – 100,000 บาทต่อรอบการรักษา ( ไม่รวมค่ายากระตุ้นไข่ ) แต่ถ้าเป็นการฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูกจะประมาณ 10,000 บาท 

การรักษาภาวะมีบุตรยากจะทำให้เกิดมีปัญหาด้านเพศสัมพันธ์ไหม

คำตอบ : คำตอบคือ มีความเป็นไปได้แน่นอน ในสภาวะปกติการมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ ด้วยความรู้สึกรักและปฎิสัมพันธ์ ที่คู่สมรสมีให้แก่กัน แต่เมื่อมาเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากแล้ว ในระหว่างขั้นตอนการรักษาคู่สมรสจะถูกกำหนดให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ไข่สุก เพื่อจุดประสงค์ที่จะเพิ่มโอกาสของมีบุตร นั่นคือเหมือนกับถูกกำหนดการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง ซึ่งอาจมีผลทางด้านจิตใจในคู่สมรสบางท่าน การพูดคุยกับคู่สมรสเพื่อการเข้าใจปัญหาร่วมกัน และการปรึกษากับพยาบาลผู้มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษา สามารถที่จะช่วยผ่อนคลายและหาวิธีการที่เหมาะสมได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก weneed babyและ โรงพยาบาล

เรื่องตั้งครรภ์เป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิง แต่จะทราบได้อย่างไรว่าเราแพ้ท้อง วันนี้มีข้อมูลจาก โรงพยาบาลรามาธิบดี มาฝากว่าอาการแพ้ท้องที่สำคัญนั้นเป็นอย่างไร

อาการแพ้ท้อง

เป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียนวิงเวียนศีรษะ เบื่ออาหาร พะอืดพะอม แพ้กลิ่นอาหารในสตรีตั้งครรภ์อ่อนๆ อาการเหล่านี้จะเริ่มมี ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ 5-6 สัปดาห์ จนกระทั่งอายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ อาการก็จะหายไป สตรีตั้งครรภ์มากกว่าครึ่งจะมีอาการแพ้ท้อง อาการมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปในแต่ละคน มักมีอาการต้อนเช้าหลังตื่นนอน แต่ช่วงเวลาแพ้ท้องของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนแพ้ช่วงเช้า บางคนแพ้ช่วงเย็นหรือบางคนแพ้ทั้งวัน ถ้าแพ้ท้องมีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

สาเหตุ สาเหตุของอาการแพ้ท้องยังไม่ทราบแน่นอน แต่พบว่ามีความสัมพันธ์กับ

  1. ระดับฮอร์โมนที่สร้างจากรก สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก

  2. ครรภ์แฝด

  3. ครรภ์แฝดน้ำ

  4. ครรภ์ไข่ปลาอุก

  5. มีประวัติเคยแพ้ท้องในครรภ์ก่อน

  6. มีสภาวะอารมณ์และจิตใจไม่ปกติ เช่น ไม่อยากตั้งครรภ์ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาด้านสังคม เศรษฐกิจ

อาการแพ้ท้องที่ผิดปกติต้องรีบมาพบแพทย์

  • คลื่นไส้ อาเจียนมาก อาเจียนบ่อยๆ อาเจียนมีเลือดปน
  • รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้เลยทั้งวัน
  • วิงเวียนศีรษะมาก หน้ามืด เป็นลม เมื่อลุกขึ้นยืน
  • มีอาการใจสั่น ใจเต้นแรงมาก
  • ปัสสาวะออกน้อยและมีสีเหลืองเข้ม
  • อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลง

แพ้ท้องมากแพทย์จะรักษาอย่างไร

ถ้ามีอาการแพ้ท้องมากคลื่นไส้ อาเจียนมาก รับประทานอาหารน้ำไม่ได้เลย ทำให้ร่างกายเสียสมดุลนำ้และเกลือแร่ ร่างกายจะอ่อนเพลีย อาการแพ้ท้องก็ยิ่งเป็นมากขึ้่น มีอาการขาดน้ำมากขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะกรดในเลือดสูงซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้น แพทย์จะให้ท่าน

  • นอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือแร่ทดแทน

  • ให้ยาแก้แพ้ท้อง ยาแก้คลื่นไส้อาเจียนวิงเวียนศีรษะ

  • ให้วิตามินบำรุงร่างกาย

  • ดูแลให้พักผ่อน ให้เพียงพอ

  • ดูแลการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม

การปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการแพ้ท้อง

  1. รับประทานอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายเพราะระหว่างตั้งครรภ์ฮอร์โมนที่สูงขึ้นจะทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง มีอาการท้องอด ท้องเฝ้อ แน่นท้องได้ง่าย อาหารที่ย่อยง่ายจะช่วยให้ร่างกายได้พลังงานเร็วขึ้น
  2. เมื่อหิวควรหาอาหารมารับประทานทันทีไม่ควรรอเวลา หรือรอให้หิวจัด ไม่ควรให้ท้องว่าง เพราะถ้าไม่ได้รับประทานอาหารทันที ขณะหิวจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
  3. รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ 6 มื้อ ควรรับประทานอาหารที่อาหารยังอุ่นอยู่ อาหารที่อุ่นรับประทานได้ดีกว่าอาหารที่เย็น ชืด ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
  4. ในระยะนี้ให้รับประทานอาหารที่ชอบ หลีกเลี่ยงอาหารที่มันจัด อาหารรสจัด อาหารที่มีกลิ่นฉุน มีเครื่องเทศมาก อาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ไม่ควรดื่มน้ำตามมากๆ
  5. เมื่อตื่นนอนตอนเช้า อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้น ให้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ประมาณครึ่งแก้วก่อนแล้วนอนพักสักครู่ จึงค่อยลุกขึ้น
  6. หลังรับประทานอาหารเสร็จให้เดินเล่นย่อยอาหารสัก 15-30 นาที หรือนั่งตัวตรงหลับตา หายใจยาวๆ ผ่อนคลายสักครู่ก่อน อย่าเพิ่งรีบนอน จะทำให้อาเจียนมากขึ้น
  7. พักผ่อนให้เพียงพอทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผ่อนคลายความเครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส
  8. ดื่มน้ำ น้ำหวาน น้ำผลไม้ต่างๆ ให้ดื่ม ทีละน้อยๆ แต่ให้ดื่มบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ
  9. ควรรับประทานอาหารที่แห้งๆ กรอบๆ เช่นขนมปังจืดๆ ขนมปังกรอบ ขนมปังปิ้ง ขนมผิงเป็นต้นเพราะอาหารเหล่านี้ ช่วยลดอาการคลื่นไส้พะอืดพะอมได้
  10. เข้านอนแต่หัวค่ำ ลดความวิตกกังวล นอนหลับให้เต็มที่ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่น
  11. ก่อนเข้านอนควรดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่นนม ในรายที่ดื่มนมไม่ได้ อาจดื่มนมเปรี้ยว โยเกิร์ต น้ำอุ่น ขนมปัง จะช่วยลดอาการแพ้ท้องของเช้าวันรุ่งขึ้นได้
  12. ไม่ซื้อยาแก้แพ้ท้องมารับประทานเอง ควรมาพบแพทย์ให้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง แพทย์จะให้ยาพวก วิตามินที่ช่วยให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น ในช่วงที่มีอาการแพ้ท้องไม่ควรรับประทานยาบำรุงเลือดธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ได้
  13. ถ้ามีอาเจียน อ่อนเพลีย มาก รับประทานอาหาร ดื่มน้ำไม่ได้เลยทั้งวัน ให้มาพบแพทย์ก่อนนัด

เมื่อมีอาการแพ้ท้องปัจจุบันเมื่อเราทราบว่าตั้งครรภ์เราควรรีบฝากครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์ทั้งนี้จะได้ตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต เจาะโลหิตหาเชื้อโรคต่างๆที่สำคัญมีการเตรียมความพร้อมทั้งสามีและภรรยา อย่าลืมเรื่องการทานอาหารที่เหมาะแก่ร่างก่ายของเรา

การท่องเที่ยวในแต่ละครั้งนั้นเราสร้างความประทับใจมากมายและวิธีหนึ่งคือการถ่ายภาพเก็บเอาไว้ วันนี้ครอบครัวของเราก็มีการใช้โปรแกรม PhotoScape มาตกแต่ง จัดเรียง จัดภาพให้สวยงามได้ เป็นโปรแกรมที่ง่ายสะดวกเป็นภาษาไทยครับ

ภาพที่เอามาใช้ชมเป็นการรวมภาพโดยเอาภาพของเชียงใหม่มาโชว์ครับ

ภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม อย่างหนึ่งคือ โรคพิษแห่งครรภ์ หรือที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่า “ครรภ์เป็นพิษ”

 โรคพิษแห่งครรภ์ คืออะไร
โรคนี้เป็นกลุ่มของโรค ที่มีอาการแสดงของความดันโลหิตสูงร่วมกับอาการบวม หรือปัสสาวะมีโปรตีน ซึ่งเกิดขึ้นได้ในสตรีตั้งครรภ์ ตั้งแต่ 20 สัปดาห์ขึ้นไป โดยที่ความดันโลหิตสูง ในที่นี้หมายถึงความดันโลหิตที่มากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม.ปรอท และอาการบวม หมายถึง บวมทั้งตัว หรือบวมบริเวณหน้า ท้อง และมือร่วมกัน

 สาเหตุของโรคครรภ์เป็นพิษ
สำหรับสาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หรือฮอร์โมนต่อมไร้ท่อบางตัว หรือจากกรรมพันธุ์ เพราะจะพบโรคนี้บ่อยใน การตั้งครรภ์แรก ตั้งครรภ์แฝด มีประวัติครอบครัวเคยเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน โรคไต เป็นต้น

 อันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์
โรคนี้เป็นสาเหตุที่สำคัญสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตในมารดา เพราะถ้าปล่อยให้โรคนี้เป็นรุนแรง มารดาจะมีอาการชัก หมดสติ หรือมีเลือดออกในสมองได้ รวมทั้งอัตราการตายของทารกก็สูงเช่นกัน เนื่องจากมีการคลอดก่อนกำหนด การขาดออกซิเจนเพราะรกเสื่อม หรือทารกมีการเจริญเติบโตชะงักงันในครรภ์ เป็นต้น

 อาการ
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากสูติแพทย์ ก็จะเริ่มมีอาการบวม ต่อมาความดันโลหิตจะเริ่มสูง และท้ายสุดจะมีโปรตีนออกมาในปัสสาวะ อาการแสดงต่างๆ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มแรก หรือละเลยไม่มาฝากครรภ์ โรคจะทวีความรุนแรงขึ้นจนในที่สุดเป็นครรภ์เป็นพิษ ชนิดรุนแรง คุณแม่จะมีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ จนกระทั่งชัก ลูกน้อยในครรภ์ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้การเจริญเติบโตชะงักงัน หรือรุนแรงถึงขั้นขาดออกซิเจน และเสียชีวิตได้ 

การป้องกัน
            เนื่องจากสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ยังไม่ ในปัจจุบันจึงยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคนี้แต่สูติแพทย์สามารถป้องกันมิให้โรครุนแรงเพิ่มขึ้น ถ้ามีการฝากครรภ์สม่ำเสมอ สูติแพทย์จะตรวจพบอาการที่น่าสงสัย พร้อมทั้งให้การวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ สตรีตั้งครรภ์ควรจะฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ และที่สำคัญคือ มาตรวจครรภ์ตามแพทย์นัดทุกครั้ง ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น บวม ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว หรือจุกเสียด แน่นลิ้นปี่ ก็ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบหรือพบแพทย์ทันที

การรับประทานอาหาร

            แม้ว่าโรคนี้จะทำให้คุณแม่มีความดันโลหิตสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารเค็ม จะงดเค็มเฉพาะในรายที่เป็นความดันโลหิตสูงเรื้อรังมาก่อน

การรักษา

            ถ้าเป็นชนิดไม่รุนแรง แพทย์จะแนะนำให้นอนพักอย่างน้อยวันละ 8 – 10 ชั่วโมง เพราะการนอนพักจะช่วยให้การบวมยุบลง และความดันโลหิตลดลงด้วย นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำให้มาตรวจครรภ์ถี่ขึ้น เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค และสุขภาพทารกในครรภ์ แต่ถ้าเป็นชนิดรุนแรง ซึ่งมีความดันโลหิตเพิ่มเป็น 160/110 มม.ปรอท ปัสสาวะมีโปรตีนอย่างน้อย 2+ มีอาการปวดศีรษะ ตามัว หรือจุกแน่นลิ้นปี่ แพทย์จำเป็นต้องให้นอนพักที่โรงพยาบาล เพื่อพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิต หรือยากันชัก รวมทั้งพิจารณาให้คลอด ทั้งนี้เพราะถ้าปล่อยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไป จะเป็นอันตรายทั้งต่อมารดา และทารกในครรภ์ได้

การพยากรณ์โรค

            ส่วนใหญ่แล้ว โรคนี้จะลดความรุนแรงลงจนหายไปใน 2 สัปดาห์หลังคลอด ( ยกเว้นใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ที่มารดาอาจมีภาวะชักเกิดขึ้นได้ ) การพยากรณ์โรคทั้งในมารดาและทารกจะดีมาก ถ้าเป็นครรภ์เป็นพิษชนิดไม่รุนแรง การฝากครรภ์ที่สม่ำเสมอ มาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง มีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากสำหรับการดูแลรักษาโรคนี้

การเจ็บครรภ์และการคลอด (LABOUR AND BIRTH)
เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 40-42 สัปดาห์ นักจากระดูครั้งสุดท้าย มารดาจะเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ที่ยอดมดลูกร้าวไปที่ท้องน้อยเป็นระยะ ๆ ร่วมกับมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เมื่อสูติแพทย์ตรวจภายในจะพบว่าปากมดลูกมีการบางตัวและเปิดออก ในการคลอดปกติปากมดลูกจะเปิดหมด และทารกคลอดในที่สุดและรกคลอดตามมา ระยะเวลาของการเจ็บครรภ์จนกระทั่งคลอดใช้เวลาประมาณ 12-18 ชั่วโมงในครรภ์แรก และ 8-12 ชั่วโมงในครรภ์หลัง ในภาพแสดงระยะต่าง ๆ ของการเจ็บครรภ์และคลอดทารกท่าศีรษะ .

เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 37-42 สัปดาห์ นักจากระดูครั้งสุดท้าย มารดาจะเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ที่ยอดมดลูกร้าวไปที่ท้องน้อยเป็นระยะ ๆ ร่วมกับมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เมื่อสูติแพทย์ตรวจภายในจะพบว่าปากมดลูกมีการบางตัวและเปิดออก ในการคลอดปกติปากมดลูกจะเปิดหมด และทารกคลอดในที่สุดและรกคลอดตามมา ระยะเวลาของการเจ็บครรภ์จนกระทั่งคลอดใช้เวลาประมาณ 12-18 ชั่วโมงในครรภ์แรก และ 8-12 ชั่วโมงในครรภ์หลัง ในภาพแสดงระยะต่าง ๆ ของการเจ็บครรภ์และคลอดทารกท่าศีรษะ

1. ส่วนล่างของมดลูกบางตัวลง จนกระทั่งศีรษะทารกเข้าสู่เชิงกราน มารดาจะ
รู้สึกว่าครรภ์มีขนาดเล็กลง หรือที่เรียกกันว่าท้องลด (LIGHTENING) ซึ่งจะเกิดลักษณะนี้ 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด ในครรภ์แรก ส่วนในครรภ์หลัง อาจจะเกิดลักษณะนี้เมื่อใกล้คลอด

2-3. มดลูกหดรัดตัวเป็นจังหวะในระยะแรกของการเจ็บครรภ์ ปากมดลูกจะบางตัวและเปิดออก
ถึงน้ำค่ำอาจแตกออกทำให้มีน้ำใส ๆ ไหลออกทางช่องคลอด

4. เมื่อปากมดลูกเปิดหมด ศีรษะทารกจะเคลื่อนลงต่ำ จนกระทั่งคลอดในที่สุด สูติแพทย์ อาจตัดฝีเย็บเพื่อช่วยคลอด

5. สูติแพทย์ทำคลอดไหล่และลำตัวทารก

6. เมื่อทารกคลอดแล้ว รกจะคลอดตามมา สูติแพทย์ทำการตรวจช่องทางคลอดและเย็บซ่อมแซมฝีเย็บ

ข่าวเกี่ยวกับการคลอดบุตร


คอลัมน์ พบแพทย์จุฬาฯโดย รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ทารกคลอดก่อนกำหนด คือ ทารกที่คลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ พบว่าการคลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุการตายปริกำเนิดไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 จึงถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ เนื่องจากการดูแลทารกกลุ่มนี้ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง จึงเป็นภาระต่อครอบครัว และระบบสาธารณสุข ส่วนมากจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และมีโอกาสเกิดซ้ำในครรภ์ถัดไป ปัจจุบันที่เป็นเหตุชวนให้เกิด ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์เป็นพิษ, ทารกอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน, ทารกโตช้าในครรภ์, ครรภ์แฝด และครรภ์แฝดน้ำ, เศรษฐานะที่ยากจน, พันธุกรรม และการติดเชื้อในน้ำคร่ำ ปัจจุบันมีการใช้เทคนิคการช่วยเจริญพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำได้อุบัติการของการตั้งครรภ์แฝดเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงทำให้จำนวนการคลอดก่อนกำหนดมากขึ้น การใช้ชีวิตส่วนตัวของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่เพียงแต่ทำให้คลอดก่อนกำหนด แต่ยังมีผลต่อความผิดปกติของสมองของทารกที่คลอดก่อนกำหนดด้วยการวินิจฉัยคุณหมอจะอาศัยจากประวัติเคยคลอดก่อนกำหนดและการตรวจร่างกาย โดยต้องแยกการเจ็บครรภ์จริง จากการเจ็บครรภ์หลอก โดยต้องมีการบีบตัวของมดลูกอย่างน้อย 4 ครั้งใน 20 นาที หรือ 8 ครั้งใน 60 นาที ปากมดลูกต้องเปิดมากกว่า 1 เซนติเมตร อาจมีอาการปวดหลัง ปวดคล้ายปวดประจำเดือนร่วมด้วยก็ได้สูติแพทย์อาจตรวจภายในหรือใช้อัลตราซาวด์วัดความยาวของปากมดลูก ถ้าความยาวของปากมดลูกน้อยกว่า 25 มิลลิเมตร เมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์ จะพบร่วมกับการคลอดก่อนกำหนดได้ นอกจากนี้ ยังนำมูกที่ปากช่องคลอดมาตรวจทดสอบ fetal fibronectin ก็สามารถทำนายการคลอดก่อนกำหนดได้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์หากรู้ว่ามีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการของเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพราะทารกที่คลอดก่อนกำหนดการดูแลรักษานอกจากจะต้องใช้กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายสูงมากด้วยนะครับ

การเตรียมพร้อมก่อนคลอด
วันที่ 03/07/2009   16:37:30

เมื่อ คุณแม่ตั้งครรภ์ราว 8 เดือน ควรตรวจดูว่าได้เตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดทารกน้อยแล้วหรือยัง คุณจะพบกับเหตุการณ์อะไรบ้างเมื่อเข้าห้องคลอด และควรเตรียมของใช้อะไรที่จำเป็นสำหรับการนอนโรงพยาบาล และของใช้สำหรับการดูแลทารกและคุณแม่หลังคลอด

กระเป๋าเตรียมคลอด

ควรจัดเตรียมพร้อม เพื่อสามารถหยิบฉวยได้ทันที เมื่อต้องการอย่างเร่งด่วน สิ่งของที่ควรเตรียมมีดังนี้

  • ชุดที่จะใส่หลังคลอดกลับบ้าน 1 ชุด
  • ผ้าเช็ดตัวสีเข้ม และผ้าขนหนูเช็ดหน้า 2 ผืน
  • สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน
  • ผ้าอนามัยแบบห่วง
  • หนังสืออ่านเล่น, นิตยสาร, วิทยุเล็กๆ
  • เบอร์โทรศัพท์ของญาติพี่น้อง และเพื่อน
  • ของใช้สำหรับทารก ผ้าอ้อม 2 ผืน เข็มกลัดซ่อนปลาย (หรืออาจใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป) เสื้อชุดหมีหรือเสื่อชุดนอน ผ้าขนหนูผืนใหญ่
  • นอกจากนี้อาจเตรียมยกทรง สำหรับให้นมทารก 2-3 ตัว

การเจ็บครรภ์และการคลอด

ในที่สุด การเจ็บครรภ์ และการคลอดก็มาถึง คุณแม่อาจจะรู้สึกหวาดกลัว ตื่นเต้น เพราะจะเป็นช่วงที่มี การเจ็บครรภ์คลอด ซึ่งหลังจากนั้นจะได้พบกับ ทารกตัวน้อย การผจญกับ การเจ็บครรภ์จะผ่านไปได้ ถ้าคุณแม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน และเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในระยะต่างๆ ของการคลอด การให้กำเนิดลูกน้อย เป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ ยิ่งคุณแม่สงบใจ และผ่อนคลายได้มากเท่าไร ก็จะสามารถซึมซับความประทับใจ และผ่านประสบการณ์ ครั้งนี้ได้อย่างน่าจดจำ

การคลอดทางหน้าท้อง

การคลอดทางหน้าท้องหรือผ่าตัดคลอด ทางการแพทย์เรียก ซีซาเรียน เซ็คชั่น (cesarean section) จะเป็นวิธีคลอดที่ใช้สำหรับการตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อน หรือเกิดปัญหาไม่สามารถคลอดปกติทางหน้าท้องได้ เนื่องจากการคลอดทางหน้าท้องจะต้องมีการให้ยาระงับความรู้สึกมากกว่า และเสียเลือดจากการผ่าตัดมากกว่าการคลอดปกติ โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดทางหน้าท้อง จึงมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดปกติ คุณแม่อาจจะรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถคลอดทารกทางช่องคลอดเองได้ และอาจรู้สึกกลัวการผ่าตัด แต่ความรู้สึกนี้จะน้อยลงหากคุณแม่เข้าใจเหตุผลของการผ่าตัด ทราบถึงขั้นตอนและการปฏิบัติตัวในการผ่าตัดคลอด ก็จะลดความวิตกกังวลลงได้

ในตอนของการผ่าตัดเตรียมคลอด เริ่มด้วยการโกนขนบริเวณอวัยวะเพศ ให้น้ำเกลือที่แขนและใส่สายสวนปัสสาวะ ย้ายเข้าห้องผ่าตัด เตรียมยาระงับความรู้สึกอาจจะใช้วิธีใส่ท่อช่วยหายใจและใช้ดมยาสลบ หรือใช้ยาชาฉีดเข้าโพรงน้ำไขสันหลังหรือเหนือโพรงน้ำไขสันหลัง ซึ่งในกรณีหลังคุณแม่จะสามารถรู้สึกตัวขณะที่ทำการผ่าตัดคลอดทารก และอาจขอดูทารกหลังคลอดทันทีได้

การเลือกวิธีระงับความรู้สึกจะได้รับการพิจารณาโดยวิสัญญีแพทย์ โดยร่วมกับการตัดสินใจของคุณแม่ด้วย หลังได้รับยาระงับความรู้สึก แพทย์จะทำการผ่าตัดคลอดโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ ? -1 ชั่วโมง แผลผ่าตัดปกติจะมี 2 ชนิดคือ แผลตามยาวจากใต้สะดือถึงบริเวณเหนือหัวหน่าว กับแผลตามขวางหรือแผลบิกินี ซึ่งจะอยู่เหนือแนวขนที่อวัยวะเพศเล็กน้อย สำหรับไหมที่เย็บแผลอาจเป็นไหมที่ไม่ละลายซึ่งจำเป็นต้องตัดไหมประมาณ 5-7 วันหลังคลอด และไหมที่ละลายซึ่งไม่ต้องตัดไหมในกรณีที่ไม่มีปมไหม

การเกิดแผลเป็นนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยได้แก่ ลักษณะของแผลผ่าตัด แรงตึงของแผล และลักษณะผิวหนังของคุณแม่แต่ละคน ดังนั้น คุณแม่ควรใส่ใจ ในเรื่องความปลอดภัย และระวังดูแลบาดแผลไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ มากกว่าการวิตกเรื่องแผลเป็น หลังผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว จะสังเกตอาการต่อในห้องพักฟื้นประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงย้ายคุณแม่ไปสู่หอผู้ป่วยหลังคลอด สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอด ปกติแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านใน 5-7 วันหลังคลอด

บทความโดย น.พ. ภาวิน พัวพรพงษ์

**

ทดสอบระบบการเล่น VDO ดู

วันนี้ได้ชมข่าวที่มีการเล่นน้ำเลยเอามาฝาก ว่าการเล่นน้ำนั้นมันส์จริงๆ มีการแข่งขัน Thai skimboard กันอย่างสนุกสนาน

**

ที่บางแสนก็มีคลื่นไม่แรงแต่สามารถสร้างความสนุกได้

Young workers move quickly from modern, clean dormitories to huge mess halls and then to their jobs on the assembly lines, making everything from Apple’s iPad and iPhone, to Dell computers, and products for Hewlett Packard and Sony.

More than 300,000 people sleep, eat and work here. There are three hospitals, a fire station, supermarkets and restaurants all crammed on less than a square mile (2.3 square kilometers.)

But something here is not right — an alarming number of workers have taken their lives or attempted suicide. So far this year, 10 people have committed suicide, while three others have tried, according to Foxconn, a Taiwanese firm and local authorities, and no one knows why.

More>> Video >>